แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บ้านเกิด เมืองนอน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บ้านเกิด เมืองนอน แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ขอบริจาคหนังสือ

ครูแบบนี้ยังมีอยู่ (โปรดช่วยกันส่งต่อด้วยครับ)

สวัสดี ครับ
ผม ชื่อ กัมปนาท สุขนิตย์ ครูสอน วิชาชีววิทยา
โรงเรียนชาติตระการวิทยา
จ.พิษณุโลก

ตั้งแต่สอนมา เป็นโรงเรียนประจำอำเภอ ที่ กันดารและห่าง ไกลความเจริญ มากที่สุด
มีนักเรียนประมาณ 1,000 คน
แต่ มีครูแค่ 30 คนเอง .....
อาคารเรียน  -- > ใช้การได้จริง 1 หลัง
ซึ่ง ไม่พอกับจำนวน นักเรียน.....
ปีนี้  สอบติดมหาวิทยาลัย ประมาณ 60  กว่า   คน จากนักเรียน 160 คนครับ ...

แต่เด็กที่ อ.ชาติตระการ ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี จึงไม่ค่อยได้เรียนต่อ

ขอรับบริจาค หนังสือเรียน หรือหนังสือสอบเข้าเอนทรานซ์ หรือ หนังสือเสริมบทเรียน(ถ้าได้ชีท อ.อุ๊  อ.เผ่า อ.ต่าง ๆ จะดีมากครับ)


นางอุไรวรรณ ศิวะกุล

กศ.บ. (เกียรตินิยมอันดับ 1) กศ.ม.(เคมี)


อ.อุ๊   ()
          http://www.chem-ou.com/about/magazine



หรือ text book ระดับ ชั้นมัธยมศึกษา หรือ อุปกรณ์การทดลองต่าง ๆ ......ที่ไม่ได้ใช้แล้ว
เอามาให้นัก เรียนที่ โรงเรียนชาตระการวิทยา เพ ราะเด็กที่นี่ไม่ มีหนังสือดี ๆ อ่าน และจะได้สอบเข้า มหาวิทยาลัย มากกว่านี้

(เงินไม่รับครับ เพราะใช้ยากและไม่อยากมีปัญหาภายหลัง)

กรุณาส่ง   โรงเรียนชาติตระการวิทยา
124 หมู่ 4 ต.ป่า แดง อ.ชาติตระการ
จ.พิษณุโลก 65170


ขอบคุณมากครับ .....
สำหรับโอกาสที่นักเรียน
โรงเรียนชาติตระการวิทยาจะได้รับ
กัมปนาท สุขนิตย์


ช่วยส่งต่อกันหน่อย นะ 100 mail ได้ สัก 1 เล่ม ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย : )

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

IT-KORAT ไอทีน้องใหม่

it-korat.com ร่วมด้วยช่วยกัน สรรค์สร้างสังคม ไอที ให้น่าอยู่ ขอฝากเนื้อ ฝากตัวด้วยน่ะครับ

Windows

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

แนะนำให้อ่าน !!!

เป็นเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นมาก ๆ ในปัจจุบัน






เอาไว้เตือนใจเหล่าวิศวกร ว่าอย่าประมาทครับ (เสียเวลาอ่าน 2 นาทีเพื่อชีวิตที่ดีใน 20 ปีหลังเกษียรครับ)

นิทานเรื่องนี้ดีนะ .....อ่านเถอะคุ้มค่าจริง ๆ

กาลครั้งหนึ่ง มีคุณลุงอยู่ท่านหนึ่ง ในช่วงวัยหนุ่มคุณลุงท่านนี้เป็นหัวหน้าคนงานอยู่ในเหมืองทองคำ
มีรายได้ดีมาก แต่คุณลุงท่านนี้ไม่เคยเก็บเงินเลย มีเท่าไรก็ใช้หมด
เนื่องจากคุณลุงเป็นคนจิตใจดี ใครมาหยิบยืมก็ให้ เลี้ยงเพื่อนฝูงตลอด
คุณลุงมีเพื่อนเยอะมาก จนกระทั่งคุณลุงท่านนี้เกษียณอายุจากการทำงาน ปรากฏว่าไม่มีเงินเหลือเลย จากชีวิตการทำงานอันยาวนาน

คุณลุงมีลูก 5 คน เมื่อคุณลุงไม่มีเงินก็จำเป็นต้องไปอาศัยอยู่บ้านลูกๆ ทั้ง 5 คน
วันจันทร์ ไปอยู่บ้านลูกสาวก็ถูกลูกเขยพูดจากระทบกระเทียบ เช่น
ทำไมคุณพ่อคุณไม่ไปบ้านลูกคนอื่นบ้างนะ ผมจะทำอะไรก็อึดอัดจริงๆ
วันอังคาร ไปอยู่บ้านลูกชาย ก็ถูกหลานและลูกสะใภ้กระทบกระเทียบ เช่น รำคาญคุณปู่จังเลย กับข้าวที่หนูชอบดูสิคุณปู่ทานหมดเลย ทำไมคุณปู่ไม่ไปบ้านอื่นบ้าง
เป็นเช่นนี้ตลอดคุณลุงก็เปลี่ยนไปอยู่บ้านลูกคนนั้นที คนนี้ที ก็ถูกลูกบ้าง ลูกเขยบ้าง ลูกสะใภ้บ้าง หลานบ้างพูดจาถากถางอยู่ตลอด
แต่คุณลุงก็ต้องทน เพราะคุณลุงไม่มีเงินเก็บแม้แต่บาทเดียว
อยู่มาวันหนึ่ง คุณลุงตัดสินใจเรียกลูกๆ ทุกคนมาแล้วบอกว่า .....
พ่อจะไม่อยู่สัก 2 ปีนะลูกเพราะเพื่อนพ่อที่เป็นเจ้าของเหมืองทองคำมันเขียนจดหมายมาขอร้องให้พ่อไปช่วยงานที่เหมืองทองคำของมัน พ่อจำเป็นต้องไปช่วยเขาจริงๆ
ลูกๆ ได้ฟังก็ดีใจสนับสนุนเพื่อให้คุณลุงท่านนี้ไปให้พ้นๆ จะได้ไม่เป็นภาระอีกต่อไป
เมื่อครบ 2 ปี คุณลุงท่านนี้กลับมาพร้อมกับลังเหล็กใบใหญ่ 1 ใบ
ไปไหนแกก็ลากไปด้วย ลูกๆ ก็พากันแปลกใจและถามว่า ลังอะไร
คุณลุง ตอบว่าเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ได้มาจากเหมืองทองคำของเพื่อน ถ้าใครดูแลพ่อจนถึงวาระสุดท้ายก็จะมอบสมบัติในลังเหล็กให้ทั้งหมด
ปรากฏว่า ลูก ๆ พากันตื่นเต้น ต่างอาสามาดูแลคุณพ่อกันยกใหญ่
วันจันทร์ คุณลุงก็อยู่กับลูกสาวคนโต ลูกเขยกับหลานก็พากันเอาใจบีบนวดให้ หาของกินดี ๆ มาให้
แต่ยังไม่ทันไรลูกชายคนที่สองก็มาตามให้ไปอยู่ด้วย และก็เช่นกันยังไม่ทันไร ลูกสาวคนที่สาม ก็มาตามให้ไปอยู่ด้วยอีก
ปรากฏว่าลูกๆ ทั้ง 5 คน ของคุณลุงต่างแย่งกันเอาใจและปรนนิบัติคุณลุงท่านนี้อย่างดี
แต่เวลาไปไหนคุณลุงก็จะลากลังเหล็กใบนี้ไปด้วยตลอด เวลาผ่านไป 7 ปี คุณลุงท่านนี้เสียชีวิตลง หลังงานพิธีศพลูกๆ
ทุกคนมานั่งล้อมลังเหล็กใบนี้เพื่อแบ่งสมบัติกัน ลูกสาวคนโตเป็นคนเปิดฝาลังเหล็ก พบว่ายังมีผ้าสีขาวปิดอยู่อีกชั้นหนึ่ง และมีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ ลูกสาวคนโตก็เปิดอ่านให้น้องๆ ฟัง
เนื้อความในจดหมายเขียนไว้ว่า “ถึงลูกๆ ที่รักทุกๆ คน ก่อนอื่นพ่อต้องขอบคุณก้อนหินทุกๆ ก้อน ในลังเหล็กใบนี้ ที่ได้เลี้ยงดูชีวิตพ่อจนถึงวาระสุดท้าย
พ่อขอให้ลูกๆ แบ่งก้อนหินในลังเหล็กใบนี้ไปคนละเท่าๆ กัน เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจให้พวกเจ้าหมั่นเก็บออมเสียตั้งแต่วันนี้
เพื่อเวลาพวกเจ้าแก่ตัวลงจะได้ไม่มีชีวิตที่น่าสมเพชอย่างพ่อ....รักลูก....จากพ่อ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าประมาท อย่าคาดหวังว่าใครจะเลี้ยงดูเรา ให้เร่งเก็บออมเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ
 จะได้มีชีวิตบั้นปลายที่สุขสบาย

ได้ฟังนิทานเรื่องนี้ทีไรให้รู้สึกสะท้อนใจทุกครั้ง และไม่เคยคิดว่า เป็นเพียงนิทานเพราะเหตุการณ์
แบบนี้อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ไม่เตรียมเก็บออมเงินเสียตั้งแต่เนิ่นๆ พึ่งพาใครไหนเล่า...
จะดีเท่าพึ่งพาตัวเอง....เมื่อท่านอ่านนิทานเรื่องนี้จบ

ท่านมี 2 ทางเลือก
1. ท่านเผยแพร่ออกไปเต็มความสามารถ ทำให้คนที่ไม่เคยคิดถึง อนาคตยามแก่เฒ่า จะได้เตรียมเก็บออม หรือทำใจตั้งแต่บัดนี้
2. ท่านสามารถไม่สนใจ เสมือนหนึ่งท่านไม่เคยเห็น นิทานเรื่องนี้เลย 

ที่มา : สมาคมนักศึกษาเก่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ปราสาทพะโค


ปราสาทหินบ้านพะโค หรือ ปราสาทปะโค ตั้งอยู่ในเขตตำบลบ้านกระโทก อำเภอโชคชัย จังหวัดนครนครราชสีมา ถิ่นน้าชาติ บ้านคุณสุวัจน์และเจ้าภาพกีฬาซีเกมส์ในปลายปีไงครับ
.
หากเดินทางจากตัวจังหวัด ตามถนนหลวงหมายเลข 224 ผ่านแหล่งเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนอันเลื่องชื่อของเมืองโคราช ประมาณ 30 กิโลเมตรก็จะมาถึงตัวอำเภอโชคชัย เดินทางต่อจากตัวเมืองโชคชัยไปทางอำเภอครบุรี ด้วยทางหลวงจังหวัดหมายเลข 2071อีกประมาณ 3 – 4 กิโลเมตร ก็จะพบปราสาทองค์เล็ก ๆ ทางด้านขวามือ

.
ซึ่งหากเดินทางโดยไม่ได้เจาะจงสนใจมากนัก ก็จะผ่านเลย "ปราสาทพะโค" ไปได้โดยง่าย
.

.

ด้วยเพราะปราสาทหินพะโคเป็นปราสาท"ขนาดเล็ก" ไม่ได้ตั้งอยู่ในเส้นทางโปรโมทแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจของเมือง
โคราช เช่นเดียวกับ ปราสาทหินใหญ่ ๆ อย่างปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมวัน ปราสาทเมืองแขก เมืองเสมา ฯลฯ จึงไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวหลงทางแวะมาชมกันมากนัก เรียกได้ว่าถ้าจะมาก็ต้องตั้งใจมากันจริง ๆ แล้วค่อยตัดเดินทางไปตามเส้นทางลัดสาย สูงเนิน - โชคชัย เดินทางลัดไปจังหวัดบุรีรัมย์
.
เฉพาะที่อำเภอปักธงชัย ใกล้เคียงกับปราสาทพะโคก็มีปราสาทขนาดเล็กที่สร้างเพื่อเป็นปราสาท "สรุก" หรือเทวาลัยประจำชุมชนโบราณ ถึง 8 หลัง เช่น ปราสาทบ้านนาแค ปราสาทบึงคำ ปราสาทสระหิน ปราสาทบ้านปรางค์ ฯ ในอำเภอโชคชัยก็มีอยู่ 3 ปราสาทและมีปราสาทหินน้อยใหญ่รวม 34 แห่ง ทั่วเขตจังหวัดนครราชสีมา บางแห่งก็บูรณะแล้ว บางแห่งก็ยังมีสภาพรกร้างเดิม ๆ ดิบอยู่
.
ปราสาทหินตามชุมชนโบราณขนาดเล็กทั้งหลายนี้ ส่วนใหญ่จะมีสภาพพังทลายไม่สมบูรณ์ เพราะต้องผจญกาลเวลามายาวนานกว่าพันปีบ้าง เกือบพันปีบ้าง ปราสาทหินจึงมี "ความไม่สมบูรณ์" ที่หลากหลาย ทั้งแบบที่ยังสร้างไม่เสร็จก็หยุดสร้าง เพิ่งเริ่มสร้างยังไม่ทันแกะสลักลายก็หยุดสร้าง หรือถูกทำลายจากภัยธรรมชาติเช่นแผ่นดินไหว บ้างก็มีต้นไม้ ป่ารกขึ้นปกคลุมแทนเพราะไม่มีชุมชนมาใช้ประโยชน์หรือมาคอยดูแลรักษา
.
บางปราสาท ฐานล่างต้องรับทั้งน้ำฝน ความชื้นและความร้อน ก็ล้วนแต่จะช่วยทำให้หินทรายเกิดปฏิกิริยาพองและกรอบ จึงรับน้ำหนักด้านบนที่กดทับลงมาไม่ไหวก็แตกกร่อนพาให้ด้านบนพังทลายลงมา
.
บางปราสาทก็อาจถูกผู้คนในยุคหลังเข้ามารื้อทำลาย ทั้งเพื่อนำหินไปสร้างปราสาทหรือศาสนสถานตามคติความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งการค้นหาทรัพย์สมบัติและโลหะที่มีค่าไปใช้ประโยชน์
.
ปราสาทหินและโบราณสถานหลายแห่งล้วนเสื่อมสภาพและพังทลายตามเงื่อนไขที่กล่าวมาทั้งสิ้น บางปราสาทหินก็อาจจะเจอสองเด้งทั้งภัยธรรมชาติและจากน้ำมือของมนุษย์
.
ผมโชคดีได้เดินทางไปทำงานสำรวจปราสาทในอีสานในโครงการของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเมื่อประมาณกว่า 15 ปีที่แล้ว จึงได้มาพบกับปราสาทปราสาทพะโคที่ซ่อนเร้นเป็นโคกป่าอยู่ริมทาง ในช่วงก่อนที่จะมีการบูรณะในปี 2535 ครับ
.

.
คำว่า "พะโค" มาจากคำว่า "ปะโค" ซึ่งเป็นชื่อเมืองเก่าแก่ในนิทานภาคอีสาน เรื่องหอนางอุษาหรืออุสา-บารส หรืออาจจะมาจากคำเขมรว่า "เปรียะโค" แปลว่า "พระโค(วัว)" ชาวบ้านในพื้นที่ปัจจุบันน่าจะเคลื่อนย้ายมาจากทางอีสานเหนือเมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้ว จึงนำชื่อเรียกใหม่สวมทับปราสาทในภายหลังครับ
.
สภาพก่อนการบูรณะนั้น ปราสาทมีสภาพเป็นโคกเนินดินทับถมขนาดใหญ่ มีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นรกรุงรัง มีกองหิน อิฐและเศษรูปสลักกระจัดกระจายอยู่บนเนิน มีร่องรอยการขุดหาของเก่าหลายหลุม บางโรงเรียนโดยรอบปราสาทได้มานำทับหลังและรูปสลักหินไปเก็บไว้ บางทีก็เป็นบ้านคนมาเก็บไป บางทีก็เป็นวัดมาเก็บ มีการลักลอบนำลายแกะสลักหินที่แตกหักออกจากปราสาทไปบ่อยครั้ง
.
ปราสาทพะโคในสายตาของผมในเวลานั้นอยู่ในสภาวะเสื่อมสภาพอย่างรุนแรง ตามความเห็นและข้อสันนิษฐานของผม ปราสาทหินองค์นี้ เป็นปราสาทที่สวยงามและอลังการที่สุดในบรรดาปราสาททางทิศใต้ของเขตเมืองโคราช อายุของปราสาทอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 15 -16ฝีมือช่างแกะสลักระดับช่างหลวงคลาสลิค แบบแผนศิลปะเทียบเคียงได้กับศิลปะเกลียงหรือคลังในประเทศกัมพูชา
.

.

.
ผมอยากเรียกว่าเป็นศิลปะแบบ "กระโทกโชคชัย" มากกว่า เพราะรายละเอียดของการแกะสลักช่วงสวยงามและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่นจริง ๆ ถึงจะจิ๋วแต่ก็แจ๋วสุด ๆ
.
ลักษณะของปราสาทเป็นปรางค์เดี่ยว หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีปรางค์น้อยที่หลายคนเรียกว่าบรรณาลัยจำนวน 2 องค์ ตั้งอยู่ทางด้านหน้าแนวเหนือและใต้ แต่ผมไม่คิดว่าจะเป็นบรรณาลัย (ห้องสมุดหรือห้องพิธีพราหมณ์) ตามเขา เพราะมีหลักฐานของยอดปราสาทถึงสามยอด ที่แกะสลักได้อ่อนช้อยงดงามกว่าที่ไหน ๆ วางกองทนโท่อยู่ ก็แสดงว่าเป็นปราสาทสามหลัง สามใบเถาแน่ ๆ  ที่ยอดปราสาทยังคงอยู่ก็เพราะน้ำหนักหินทรายสลักก็ไม่ใช่น้อย ๆ จึงไม่มีใครสนใจจะขนไปเป็นที่ระลึก
.

.
ปรางค์ประธานและปรางค์น้อยทั้งสองอยู่ในสภาพพังทลายลงมาทั้งหมดครับ ปรางค์น้อยด้านทิศใต้ถูกรื้อหายไปทั้งฐานราก ? นี่คือปมปริศนาที่น่าฉงนของปราสาทงามแห่งเมืองกระโทกโชคชัย หินทรายหรืออิฐที่เป็นโครงสร้างของตัวเรือนปราสาทประธานอันตธานหายไปทั้งหมด มันหายไปไหน !!!
.

.
       หลายคนหลายตำราก็พยายามอธิบายว่าวัสดุที่ใช้เป็นเรือนธาตุนั้นอาจจะเป็น อิฐดินเผา จึงพังทลายกลายไปดินธุลีไปตามเวลา
.
ผมก็ให้ขำในข้อสันนิษฐานที่แตกต่างกันไป ปราสาทอิฐมากมายในยุค 100 – 500 ปีก่อนหน้ากลับล้วนยังอยู่รอดให้เห็นซากได้มากมาย ประมาณเศษอิฐที่ยังหลงเหลือกระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ ก็เห็นจะไม่มากพอที่จะใช้ก่อเป็นเรือนปราสาทได้สักหลัง
.
แต่นี่เรือนปราสาทหายไปทั้งสามหลังเลยครับ !!!
.

.
หินทรายหรืออิฐที่ใช้เป็นเรือนธาตุของปราสาทหายไป ปราสาทหลังเล็กหลังหนึ่งถูกรื้อจนไม่เหลือแม้กระทั่งฐาน ปราสาทหลังเล็กอีกหลังหนึ่งเหลือเพียงระดับหน้าบันชั้นแรก ผนังก็ยังหาย เหลือแต่ประตูผุกร่อน
.
ปราสาทพะโค ถูกรื้อทำลายอย่างตั้งใจหรือ ? รูปเคารพจำนวนมากหายไปไหน ฐานรูปศิวลึงแตกปิ่นที่ขอบ (เพราะเหตุมีของหนักหล่นมาจากด้านบนมากระแทก) ก็ยังตั้งอยู่ในปราสาทประธาน ชิ้นส่วนประดับปราสาทที่เรียกว่า "เครื่องบน" หรือ "กลีบขนุนรูปปราสาทจำลอง" จำนวนมาก ร่วงหล่นลงมากระแทกหินที่ฐานแตกหัก สภาพเป็นชิ้นสมบูรณ์ก็แทบหาไม่ได้เลย กลีบขนุนรูป "นักบวชและรูปฤๅษี"  ก็มีร่องรอยถูกทุบทำลาย แตกเป็นชิ้น ๆ เช่นกัน
.
ปราสาทพะโค ที่สวยงามไปทำอะไรใครเขา ทำไมจึงถูกรื้อทำลายได้อย่างรุนแรงเช่นนี้ !!!
.

.
ผมมุ่งเป้าแก้ปมปริศนาไปที่ประเด็นเรื่องประติมานวิทยาของเรื่องเล่าเทพเจ้าในรูปสลักที่อาจจะสะท้อนคติความเชื่อทางศาสนา อันเป็นที่มาของการสร้างปราสาทพะโคและชุมชนโบราณผู้สร้างปราสาทหลังนี้
.
รูปสลักที่นี่จำนวนมาก สลักในเรื่องราวของพระวิษณุในลัทธิไวษณพนิกายเป็นส่วนใหญ่ ทั้งพระนารายณ์ทรงครุฑก็มีแทบทุกหน้าบัน รูปนารายณ์ตรีวิกรม อภิเษกพระศรีหรือพระลักษมี พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ พระกฤษณะประลองกำลัง แต่ไม่เห็นรูปของพระศิวะเลย
.

.

.
ในขณะที่สังคมชุมชนเขมรโบราณในยุคสมัยเดียวกันนั้นให้ความสำคัญกับลัทธิไศวะนิกายหรือลัทธิการบูชาพระศิวะหลัก เรียกว่าชุมชนที่นี่คงเป็นชนกลุ่มน้อยในยุคนั้น
.
หรือจะเป็นเพราะเหตุความขัดแย้งทางคติความเชื่อ ถึงขั้นลงไม้ลงมือทำลายเทวสถานกัน ถึงจะมีฐานของเคารพอยู่ในปรางค์ประธาน แต่ก็ไม่เคยพบศิวลึงค์ที่นี่เลยสักชิ้น ก็เป็นข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ หรือชุมชนโบราณอาจเกิดโรคระบาดขั้นวิกฤต จึงทิ้งร้างศาสนสถานแห่งเทพเจ้าไป ก็เป็นไปได้อีก
.

.
ปราสาทพะโค "อาจจะ" ถูกทำลายโดยผู้คนชุมชนใหม่ในยุคพุทธศตวรรษที่ 17 ที่ย้ายเข้ามาใหม่ ซึ่งอาจจะทำลายโดยตั้งใจเพื่อรื้อตัวปราสาทให้ถล่มลงเพราะเป็นปราสาทที่ขัดแย้งความเชื่อในคติบูชาเทพเจ้าของตน หรือ อาจจะเข้ามาพบปราสาทร้างและต้องการนำหินไปใช้เพื่อสร้างปราสาท "สรุก" ศูนย์กลางท้องถิ่นของตนใหม่ จึงทำการรื้อถอนปราสาทด้วยวิธีการการล้อมเชือกโดยรอบแล้วใช้ช้างลากหรือแรงงานคนชักคะเย่อ จนปราสาทถล่มล้มลงมาทั้งหลัง
.

.
หลังจากลำเลียงหินทรายก้อนที่เป็นโครงสร้างปราสาทไปแล้ว ก็จะทิ้งหินทรายที่มีรูปแกะสลักเดิมไว้ เพราะไม่ต้องการนำไปใช้ เราจึงยังพบทั้งเสากรอบประตูสลักลวดลายสวยงาม กรอบประตูหน้าต่าง ทับหลัง หน้าบันและยอดปราสาทครบทั้งสามหลังทิ้งไว้ รวมกันกับกองปราสาทจำลอง หินสลักจำนวนมากอยู่ในสภาพแตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และมีร่องรอยหลักฐานของการกระทบกระแทกหินกันอย่างรุนแรงปรากฏอยู่มากมาย
.
หินแตกหักจำนวนมากของปราสาทพะโค สวยงามเพราะมีลวดลายสลักติดอยู่ จึงกลายมาเป็นของที่ระลึก (Souvenir) ชั้นดี ขนาดพอเหมาะสำหรับผู้คนที่แวะมาท่องเที่ยวเยี่ยมเยือนในช่วงปัจจุบันต่างก็มาหยิบฉวยออกไปมากมายครับ
.
ผมได้ถ่ายรูปตอนขุดค้นและขุดแต่งปราสาทพะโคไว้ ซึ่งในช่วงนั้นก็กำลังขุดพบ "แผ่นทองคำศิลาฤกษ์" บริเวณฐานศิลาแลงของปราสาทประธานทางฝั่งทิศเหนือพอดี แผ่นทองคำเป็นรูปบัวแปดกลีบวางในช่องหินเล็ก ๆ หลายช่อง จำได้ว่าพบแผ่นใหญ่ 3 แผ่น และแผ่นเล็ก ๆ อีกหลายแผ่น ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพิมายครับ
.

.
หน้าบันของปราสาทพะโคมีลักษณะสถาปัตยกรรมที่ค่อนข้างแปลกกว่าปราสาทหินเขมรในประเทศไทยองค์อื่น ๆ หน้าบันสลักเข้าไปในตัวเรือนปราสาท โค้งลงมาเข้าหาทับหลังและกรอบประตูแทนที่จะแยกออกมาเป็นแผ่นหน้าบันต่างหาก ซึ่งลักษณะนี้คล้ายกับที่ปรางค์น้อย ในปราสาทหินเขาพนมรุ้ง ปราสาทเมืองแขกและปราสาทบ้านพลวง ซึ่งล้วนอยู่ในสมัยต้นศิลปะแบบบาปวนแต่ที่ปราสาทพะโคนี้จะดูเก่าและแปลกตากว่ามาก
.

.

.
ดูกี่ครั้งกี่หนผมก็เห็นว่า ลวดลายแกะสลักของปราสาทพะโคนี้ แปลกและงดงามมากจริง ๆ ดูจากแค่เฉพาะลายแกะสลักที่ประตูหลอกของปรางค์น้อยสิครับ หากปราสาทสมบูรณ์แบบ จะเป็นปราสาทหินที่งดงามเทียบได้กับปราสาทบันทายศรีในเมืองเสียมเรียบของกัมพูชาเลยทีเดียว
.

.
นอกจากนี้ยังขุดพบรูปสลักทวารบาลราชสีห์หน้าปราสาทจำนวนฐานครบเฝ้าทั้งสามปราสาท แต่ตัวสิงห์เหลือให้เห็นอยู่เพียงสามตัวที่หายไปคงกำลังเฝ้าประดับบ้านใครอยู่ก็ไม่รู้ได้
.

.
หัวนาคปลายหน้าบันที่นี่ก็แปลกตัวยืดยาวสวมมงกุฎก็ยาวแยกกันเป็นของใครของมัน มีสิงห์ หน้ากาล และลิงมาคายนาค 5 เศียรแทนที่จะเป็นมังกรคายนาคเช่นปราสาทองค์อื่น ๆ เขานิยมสลักกัน
.
หน้าบันและรูปสลักส่วนใหญ่ของปราสาท ได้ถูกนำไปเก็บและจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพิมายครับ ส่วนที่แตกหักก็ยังกองทิ้งไว้ในเขตปราสาท แต่ถ้าผมจำไม่ผิด หน้าบันจำนวนหนึ่งได้ถูกนำไปไว้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ์ ตึกหลังเล็ก ๆ ในวัดสุทธจินดา ตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา
.
พิพิธภัณฑ์หลังนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก เก็บรวบรวมโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ที่เป็นงานสะสมของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสโส)อดีตพระเถระสำคัญของภาคอีสาน ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดสุทธจินดาในอดีตครับ
.

.
กรมศิลปากรจึงได้สร้างอาคารชั้นเดียวทรงไทยหลังหนึ่ง ภายในพื้นที่ของวัดสุทธจินดา เพื่อเก็บรักษางานสะสมของพระท่าน จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขึ้น เมื่อปี 2497
.
ปราสาทพะโค เป็นปราสาทที่มีความงดงามโดดเด่น มีลวดลายแกะสลักที่วิจิตรบรรจง แต่ก็ซ่อนเร้น ยากที่จะเดินทางไปเยี่ยมเยือน แต่หากมีโอกาสสักครั้ง ก็ไม่ควรพลาดที่จะเจาะจงเข้าไปชมปราสาทองค์นี้ที่อำเภอโชคชัย และควรแวะไปดูชิ้นส่วนงานแกะสลักของปราสาทที่กระจัดกระจายไปอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ในตัวเมืองโคราชและที่เมืองพิมาย
.
บางทีท่านอาจจะพบกับหลักฐาน ทั้งวิญญาณและสายลม ได้ช่วยกันไขปมปริศนาสำคัญว่า เหตุใดปราสาทที่สวยงามหลังนี้จึงถูกทำลายลงอย่างราบคาบ ถึงเหลือแต่ชิ้นส่วนแตกหักแต่ก็ช่างงามอลังการหนักหนา
.

.
ไม่แน่นัก ท่านอาจจะเป็นผู้เฉลยเงื่อนงำปริศนานี้ได้เอง เมื่อได้ไปเยือนและใช้มือลูบไล้สัมผัสเบา ๆ กับร่องสลักหินทรายของ "ปราสาทพะโค" ท่ามกลางกลิ่นอายของความรู้สึกโดดเดี่ยวและเงียบเหงา ที่บ้านกระโทก เมืองโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา
.
หากไปพบอะไรใหม่ ก็อย่าลืมมาบอก มาอวดกันบ้างนะครับ !!!
.

ที่มา : www.oknation.net   โดย ศุภศรุต